๑ - ๑๐. ๐ มิลลิเมตร ๒) ฝนปานกลาง (moderate rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ ๑๐. ๑ - ๓๕ มิลลิเมตร ๓) ฝนหนัก (heavy rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ ๓๕. ๑ - ๙๐. ๐ มิลลิเมตร ๔) ฝนหนักมาก (very heavy rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ ๙๐.
19 ม. รทก. ไม่ใช่แค่นั้นจากประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ทำให้หลายหน่วยงานได้ "กระชับ" ช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน ตั้งแต่ กทม. กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำให้เป็น "ชุดข้อมูล" เดียวกันต่อการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ โดยเฉพาะ "ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันและแก้ไขน้ำท่วม" กทม. ก่อตั้งมาตั้งแต่ 7 ส. ค. 2533 มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชม. เพื่ออัปเดตสถานการณ์น้ำในแม่น้ำ ปริมาณฝน และรายงานสถานการณ์ระดับน้ำในแนวแม่น้ำเจ้าพระยาทุก 1 ชั่วโมง โดยจะรายงานข้อมูลสำคัญผ่าน เว็ปไซต์ เฟซบุ๊ค และ ทวิตเตอร์ ทั้งหมดเป็นเส้นทางน้ำ ระบบป้องกันน้ำท่วม และแผนบริการจัดการของ กทม. ซึ่งยกระดับเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่กรุงเทพฯ เผชิญกับมหาอุทกภัยซ้ำรอยในปี 2554
สืบเนื่องจาก ฝนที่ตกหนักในหลายพื้นที่ทางตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากอิทธิพลของร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังแรงที่อ่อนกำลังจาก พายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง นั้น ส่งผลให้มีน้ำท่าปริมาณมากจากลำน้ำสาขาไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะจากแม่น้ำวัง และแม่น้ำปิง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน (28 ก. ย. 64) เวลา 06. 00 น. ที่สถานีวัดน้ำ C. 2 จ. นครสวรรค์ (ความจุสูงสุดรับได้ 3, 590 ลบ. ม. /วินาที) มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2, 683 ลบ. /วินาที ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 1. 79 เมตร แนวโน้มเพิ่มขึ้น ก่อนไหลไปรวมกับน้ำที่มาจากแม่น้ำสะเเกกรังอีก 410 ลบ. /วินาที ทำให้มีปริมาณน้ำ 3, 093 ลบ. /วินาที ไหลลงสู่เขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทาน สามารถรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งได้เพียง 293 ลบ. /วินาที เนื่องจากยังคงมีปริมาณน้ำในพื้นที่จากฝนที่ตกในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากกว่า 2, 700 ลบ.
00 น. วันที่ 28 ก. ย. เฉลี่ยอยู่ที่ 2, 311 ลบ. /วินาที แต่เกณฑ์ของกรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบกับมวลน้ำเจ้าพระยา ต้องมีปริมาณน้ำไหลผ่านที่สถานี C. 29A ในอัตรา 3, 500 ลบ. /วินาที ขึ้นไป ที่สำคัญในปี 2554 ไทยได้รับอิทธิผลทางตรงและทางอ้อมจากพายุที่เคลื่อนตัวมากถึง 5 ลูก ได้แก่ ไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาดและนาลแก ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนและแม่น้ำสูงขึ้นตลอดทั้งปี แต่ในปี 2564 ยังมีเพียงพายุดีเปรสชัน "เตี้ยนหมู่" เข้ามาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายจังหวัดอีสานตอนบน สำหรับตัวเลขสำคัญที่บ่งบอกว่าสถานการณ์ขณะนี้ ยังไม่เทียบกับปี 2554 อีกหนึ่งเกณฑ์ชี้วัดอยู่ที่ระดับน้ำเจ้าพระยาวัดได้เมื่อวันที่28 ก. บริเวณปากคลองตลาดอยู่ที่ 1. 45 ม. รทก. โดย ผู้ว่าฯอัศวินเปิดเผยว่าในจุดนี้เคยสูงถึง 2. 30 ม. รทก. "กรุงเทพธุรกิจ" ได้ข้อมูลสถิติระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูงสุด จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 บริเวณตอนเหนือที่คลองบางเขนและคลองบางซื่อ ระดับน้ำสูงสุด 2. 83 ม. รทก. บริเวณตอนกลางที่สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ระดับน้ำสูงสุด 2. 53 ม. รทก. และบริเวณตอนใต้ที่คลองพระโขนงและคลองบางนา ระดับน้ำสูงสุด 2.
ได้วางแนวกระสอบทรายเป็นแนวชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ "ผู้ว่าฯกทม. " พล. ต. อ. อัศวิน ขวัญเมือง สั่งหน่วยงาน กทม. เฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมตามแนวฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระราม 7 จนถึงบางนา โดยควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 97 สถานี และเตรียมเครื่องสูบน้ำสำรอง เรือผลักดันน้ำ และจัดเรียงกระสอบทรายริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อยและคลองมหาสวัสดิ์บริเวณนอกแนวป้องกัน และบริเวณแนวป้องกันมีระดับต่ำ ให้มีความสูง 2 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม. รทก. ) ปัจจัยชี้วัดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ทว่าปัจจัยชี้วัดสำคัญที่ กทม. ต้องมอนิเตอร์อยู่ที่ "ปริมาณระบายน้ำ" จากเขื่อนหลัก ตั้งแต่เขื่อนเจ้าพระยา จ. ชัยนาท ซึ่งปัจจุบัน(28 ก. ย. ) อยู่ในเกณฑ์ระบายน้ำ 2, 639 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ. ม. /วินาที) ยังแตกต่างกับการระบายน้ำในปี 2554 มีปริมาณน้ำมากถึง 3, 700 ลบ. /วินาที หรือหากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปี 2560 ซึ่งมีปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานี C. 29A อ. บางไทร อยู่ที่ 2, 882 ลบ. /วินาที ซึ่งในปีนั้นไม่มีน้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันสถานีบางไทรมีปริมาณน้ำไหลวัดได้เมื่อเวลา 06.
เกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในการพยากรณ์และรายงานอากาศในประเทศไทย เกณฑ์อากาศร้อน กำหนดจากอุณหภูมิสูงสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูร้อน ๑) อากาศร้อน (hot) อุณหภูมิตั้งแต่ ๓๕. ๐ - ๓๙. ๙ องศาเซลเซียส ๒) อากาศร้อนจัด (very hot) อุณหภูมิตั้งแต่ ๔๐. ๐ องศาเซลเซียสขึ้นไป เกณฑ์อากาศหนาว กำหนดจากอุณหภูมิต่ำสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูหนาว ๑) อากาศเย็น (cool) อุณหภูมิตั้งแต่ ๑๖. ๐ - ๒๒. ๙ องศาเซลเซียส ๒) อากาศหนาว (cold) อุณหภูมิตั้งแต่ ๘. ๐ - ๑๕. ๙ องศาเซลเซียส ๓) อากาศหนาวจัด (very cold) อุณหภูมิตั้งแต่ ๗. ๙ องศาเซลเซียสลงไป เกณฑ์การกระจายของฝน ๑) ฝนบางพื้นที่ (isolated) หมายถึง มีฝนตกน้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ของพื้นที่ ๒) ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (widely scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป แต่ไม่เกินร้อยละ ๔๐ ของพื้นที่ ๓) ฝนกระจาย (scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ร้อยละ ๔๐ ขึ้นไป แต่ไม่เกินร้อยละ ๖๐ ของพื้นที่ ๔) ฝนเกือบทั่วไป (almost widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ร้อยละ ๖๐ ขึ้นไป แต่ไม่เกินร้อยละ ๘๐ ของพื้นที่ ๕) ฝนทั่วไป (widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ร้อยละ ๘๐ ของพื้นที่ขึ้นไป เกณฑ์ปริมาณฝน ๑) ฝนเล็กน้อย (light rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ ๐.
หน้า 1 เกณฑ์อากาศร้อน ใช้อุณหภูมิสูงสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูร้อน 1. อากาศร้อน(Hot) อุณหภูมิตั้งแต่ 35. 0 – 39. 9 องศาเซลเซียส 2. อากาศร้อนจัด(Very Hot) อุณหภูมิตั้งแต่ 40. 0 องศาเซลเซียสขึ้นไป เกณฑ์อากาศหนาว ใช้อุณหภูมิต่ำสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูหนาว 1. อากาศเย็น(Cool) อุณหภูมิตั้งแต่ 16. 0 – 22. อากาศหนาว(Cold) อุณหภูมิตั้งแต่ 8. 0 – 15. 9 องศาเซลเซียส 3. อากาศหนาวจัด(Very Cold) อุณหภูมิตั้งแต่ 7. 9 องศาเซลเซียสลงไป เกณฑ์การกระจายของฝน 1. ฝนบางพื้นที่(Isolated) หมายถึง มีฝนตกน้อยกว่า 20% ของพื้นที่ 2. ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 20% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 40% ของพื้นที่ 3. ฝนกระจาย(Scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 40% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60% ของพื้นที่ 4. ฝนเกือบทั่วไป(Almost Widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 60% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80% ของพื้นที่ 5. ฝนทั่วไป(Widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 80% ของพื้นที่ ขึ้นไป เกณฑ์ปริมาณฝน 1. ฝนเล็กน้อย(Light Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 0. 1 มิลลิเมตร ถึง 10. 0 มิลลิเมตร 2. ฝนปานกลาง(Moderate Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 10.
เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ "กรมชลประทาน" เพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่าน "เขื่อนเจ้าพระยา"กระทบทำน้ำท้ายเขื่อนสูง เตือนประชาชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวัง จากสถานการณ์ ฝนตกหนักต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 26-30 ก. ย. 64 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ทำให้ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณภาคกลาง ส่งผลให้ขณะนี้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมขัง ปริมาณน้ำมนเขื่อนหลักใกล้เต็มความจุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดย กรมชลประทาน ได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และขณะนี้ยังคงมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มปริมาณที่น้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ระหว่าง 2, 400-2, 500 ลกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ระดับน้ำท้ายเขื่อน เพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 0. 30 - 1. 00 เมตร ระหว่างวันที่ 26-29 กันยายน 2564 ในบริเวณ พื้นที่ลุ่มต่ำนอกแนวคันกั้นน้ำ ทั้งนี้ขอให้ ประชาชนที่อาศัยนอกแนวคันกั้นน้ำ ติดตามประกาศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 จังหวัดนครสวรรค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 2, 400-2, 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่ง กรมชลประทาน ใช้แนวทางการบริหาร โดยการจัดการน้ำรวมทั้งตัดยอดน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำทั้งสองฝั่ง แต่ยังคงจำเป็นต้องปรับเพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ระหว่าง 2, 400-2, 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ปัจจัยชี้วัดสำคัญน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับมหาอุทกภัยปี 54 หรือไม่ อยู่ที่ปริมาณระบายน้ำ จากเขื่อนหลัก ระดับน้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงสถานการณ์พายุเข้าประเทศไทย สถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง จากอิทธิพลของพายุ "เตี้ยนหมู่" ขณะนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหลายฝ่ายกำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของภาวะน้ำท่วม จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับมหาอุทกภัยในปี 2554 หรือไม่ โดยเฉพาะหน่วยงาน กทม. ยังเฝ้าระวังมวลน้ำจากภาคกลาง ที่ไหลผ่านเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำสำคัญที่เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 2554 มาวันนี้ผ่านมา 10 ปีจากประสบการณ์และการเร่งพัฒนา "ระบบป้องกันน้ำท่วม" ทำให้ กทม. เร่งเตรียมความพร้อมแนวรับน้ำที่กำลังไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ จากภาวะศึก 3 ด้านที่ กทม. โฟกัสไปที่การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ตั้งแต่ "น้ำเหนือ-น้ำหนุน-น้ำฝน" เป็นปัจจัยหลักกระทบต่อระดับน้ำภายในเมือง "กรุงเทพธุรกิจ" พาไปสำรวจแนวรับน้ำของกรุงเทพฯ 3 ด้าน ดังนี้ 1. น้ำเหนือ ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำจะระบายออกทะเลโดยตรง 2. น้ำที่ผ่านมา "ฝั่งตะวันออก" กรุงเทพฯ จะมีคลองระพีพัฒน์ ทำหน้าที่รับน้ำด่านแรก จากนั้นน้ำจะถูกผันเข้าประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ผ่านคลอง 13 ผ่านเขตหนองจอก ผ่านเขตมีนบุรี ผ่านเขตลาดกระบัง และไหลออกสู่ทะเลที่ จ.
ยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง การดำเนินการของโรงพยาบาล 1. ประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อ ตามดุลยพินิจของแพทย์ 2. ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การแยกตัวบ้าน 3. ควรถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) ในวันแรกที่วินิจฉัย (ถ้าสามารถทำได้) 4. แนะนำการปฏิบัติตัวให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ 5. ติดตามประเมินอาการผู้ติดเชื้อระหว่างการแยกตัวที่บ้าน โดยให้ผู้ติดเชื้อวัดอุณหภูมิ และ oxygen saturation และแจ้งทางโรงพยาบาลทุกวันผ่านระบบสื่อสารที่เหมาะสม 6. เมื่อผู้ติดเชื้อมีอาการมากขึ้นให้มีระบบรับ-ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล 7. ทั้งนี้ระหว่างติดตามอาการของผู้ป่วย แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาตามความเหมาะสม ตามแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามฉบับปัจจุบัน จาก (ฉบับปัจจุบัน วันที่ 25 มิถุนายน 2564) โดยมีระบบการจัดส่งยา การแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการรับประทานยา การสังเกตผลข้างเคียงที่เหมาะสม ตามบริบทของแต่ละโรงพยาบาล และรับผู้ป่วยมารักษาในโรงพยาบาล ถ้ามีอาการแย่ลง เช่น O2 sat < 96%, BT > 38 องศาเซลเซียส เป็นต้น ข้อมูลจาก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ไม่ให้บุคคลอื่นมาเยี่ยมที่บ้าน ระหว่างแยกตัวและงดการออกจากบ้านในระหว่างแยกตัว 2.